วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2561

วิธีป้องกันไฟปริศนา

วิธีป้องกันไฟปริศนานั้นไม่ยากครับ .... เริ่มจากติดกล้องวงจรปิดให้ทั่วบ้านก่อน แล้วให้คนในบ้านย้ายไปอยู่ที่อื่นซักวันนึง ไฟปริศนาจะหายไปเองครับ หึๆๆ
--------
ไฟปริศนาไหม้บ้านราคาเกือบ 3 ล้านบาท ผวาจนไม่กล้าหลับนอน
ไฟปริศนาได้ลุกไหม้ที่นอนและอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ทำให้เจ้าของบ้านที่ใช้เงินจากน้ำพักน้ำแรงก่อสร้างบ้านในราคาเกือบ 3 ล้านบาท ผวาไม่กล้านอน โดยเฉพาะในบ้านตั้งถังน้ำและถังดับเพลิง ไว้ตามจุดที่เกิดไฟปริศนา เพื่อคอยวิ่งนำน้ำดับไฟไม่เป็นอันนอน วอนเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ
ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ หลังได้รับแจ้งจากนายเสถียร สังฆธรรม ว่าบ้านของตนเองเลขที่ 51 ม.6 ต.สามพี่น้อง อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี มีไฟปริศนาไหม้ที่นอนและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆภายในบ้านของตนเอง ล่าสุดลุกไหม้ตู้เย็น และผ้าห่มนอนที่อยู่ภายในบ้าน
สอบถามนายเสถียร เจ้าของบ้านเล่าว่า จากช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาบ้านของตนเองเกิดไฟไหม้มา 1 ครั้งแล้ว แต่ตนเองไม่ได้บอกหรือแจ้งใคร เพราะเกรงชาวบ้านจะหาว่าสร้างสถานการณ์ ตนจึงเก็บเรื่องดังกล่าวเงียบ จนมาเมื่อวันที่ 10 เม.ย.61 ได้เกิดมีไฟไหม้ขึ้นมาอีก ซึ่งครั้งนี้มีไฟไหม้ภายในบ้านจำนวนหลายจุด และก็ไหม้ทุกวันมาโดยตลอดตั้งแต่วันที่ 10 จนถึงวันที่ 17 เม.ย.61 และคราวนี้ดูเหมือนไฟจะไหม้เยอะกว่าครั้งที่ผ่านมา ตนจึงแจ้งเจ้าหน้าที่ อบต.สามพี่น้อง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อตามลำดับให้มาทำการตรวจสอบดังกล่าว

เจาะนิ้วแก้เส้นเลือดสมองแตก

เรื่องเจาะนิ้วแก้เส้นเลือดสมองแตก เป็นเรื่องหลอก !! นะครับ"
หายไปนานแต่มันกลับมาอีกแล้ว เรื่องแชร์กันมั่วๆ ว่า "ถ้าเจอคนที่เส้นเลือดในสมองแตก ให้เอาเข็มเจาะเลือดออกจากปลายนิ้ว จะช่วยชีวิตได้" ... เรื่องนี้ไม่จริงนะครับ อย่าไปเชื่อ อย่าไปแชร์ต่อ ถ้าเจอใครมีอาการให้รีบนำส่งโรงพยาบาลด่วน อย่ามัวแต่วิ่งหาเข็มมาเจาะนิ้ว
เรื่องนี้เตือนมาหลายรอบแล้ว มันเป็น Forward mail ลวงโลกมาจากไต้หวัน แล้วตาซินแสฮวงจุ้ยคนหนึ่งเอามาโพสต์ต่อเลยแพร่ไปทั่วเน็ตไทย ... อาการเส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบเนี่ย เป็นเรื่องที่ฉุกเฉินมากๆ ถ้าไม่รีบนำเข้าโรงพยาบาลไปส่งแพทย์โดยด่วน เพื่อให้ยาสลายลิ่มเลือดหรือผ่าตัดฉุกเฉิน สมองจะเสียหายถาวร จนถึงเสียชีวิตได้
ส่วนการเจาะเลือดที่ปลายนิ้วเนี่ยมันไม่ได้ช่วยอะไร เจาะนิ้วไปเลือดก็จะแข็งตัวปิดปากแผล ไม่ได้ช่วยลดความดันอย่างที่กล่าวอ้างกัน (ถ้ามันจริงนะ ตัดมือทิ้งให้เลือดพุ่งเลยไม่ดีกว่าเหรอ 555) ... ยิ่งถ้ามัวแต่เสียเวลาหาเข็ม หาแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ เจาะเลือดแล้วรอดูอาการให้ดีขึ้นอย่างที่ว่า จะกลายเป็นช่วยชีวิตไม่ทัน ถึงกับตายกันได้เลย
ปล. พึ่งเห็นว่า โพสต์เจาะนิ้วมั่วๆ ที่มารอบใหม่อันนั้น คนแชร์กันไปเป็นแสนเลย .... น่าเศร้าใจ แสดงว่าคนยังไม่รู้อีกเยอะมาก ว่าเรื่องหลอก
ในภาพอาจจะมี อาหาร

น้ำต้นไผ่

"น้ำต้นไผ่ สลายนิ่ว" ไม่มีงานวิจัยอะไรรองรับเลย !!
จริงๆ เคยโพสต์อธิบายเรื่อง "น้ำจากต้นไผ่" ไว้นานแล้วว่าไม่ได้น่าเชื่อถืออะไรเลย ไม่ได้อยู่ในตำรายาสมุนไพรอะไร แต่มันก็กลับมาเป็นกระแสเป็นพักๆ เพราะว่ามัน "ขายได้" เลยเอามาโพสต์เตือนกันอีกครัั้งนะ
เรื่อง “น้ำต้นไผ่ สลายนิ่ว” นี้ เริ่มเป็นข่าวมาแค่ปี 2557 นี่เอง (ดู http://news.sanook.com/1686641/ ) โดยมีเกษตรกรรายหนึ่งที่ทำสวนไผ่อยู่ที่จังหวัดสงขลา บังเอิญไปพบว่ามีน้ำหยดออกมาจากลำไผ่ที่ฟันไว้ เลยเก็บรวบรวมใส่ถุง เอามาทดลองดื่ม แล้วก็กล่าวอ้างว่า มันช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย สลายนิ่วได้โดยดื่มติดต่อกันแค่ 1-2 สัปดาห์ ไม่ต้องผ่าตัด นิ่วออกมาเป็นเม็ดๆ เลยพร้อมกับปัสสาวะ
จะเห็นว่าสรรพคุณของ "น้ำไผ่" เนี่ยก็มาจากคุณเกษตรกรคนนี้เค้ากล่าวอ้างเอง โดยไม่ได้มีงานวิจัยอะไรรองรับ หรือแม้แต่ไม่ได้ปรากฏอยู่ในตำรายาสมุนไพรไทยไหนๆ เลย ... เพียงแค่เชื่อตามๆ กันไป จนตอนนี้ขยายไปเป็น "น้ำขับสารพิษออกจากร่างกาย ดื่มกินล้างหน้า ล้างผักผลไม้ขจัดสารพิษ ฯลฯ" ได้หมด
ในความเป็นจริงแล้ว น้ำจากลำไผ่ มันก็น้ำธรรมดาที่อยู่ในท่อลำเลียงน้ำของลำต้นพืชนั่นแหล่ะครับ สรรพคุณต่างๆ ก็น่าจะเป็นแค่อุปาทานกันไปเอง การดื่มน้ำสม่ำเสมอทุกวันก็มีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงในการเป็นนิ่วอยู่แล้ว และนิ่วที่มีขนาดเล็กนั้นก็สามารถหลุดออกมากับปัสสาวะได้เองอยู่แล้วด้วย
บางคนเอาไปสับสนโยงเข้ากับสมุนไพรจริงๆ อีกตัวคือ "หญ้าไผ่น้ำ" (River Spiderwort) ซึ่งมีฤทธิ์ขับปัสสาวะและลดการอักเสบของทางเดินปัสสาวะได้ ... แต่ก็ต้องระวังในการใช้ เพราะไม่เหมาะกับผู้ป่วย "โรคไตเรื้อรัง" เนื่องจากทำให้ไตทำงานหนักขึ้น และเกิดอาการภาวะไตวายเฉียบพลันได้ (เหมือนกับพวกสมุนไพรขับปัสสาวะชนิดอื่นๆ ที่ไม่ควรให้ผู้ป่วยโรคไตกิน)
แถมหน่อยนึงว่า สำหรับคนที่เป็นนิ่ว สิ่งที่ต้องระวังเกี่ยวกับไผ่ คือการกิน “หน่อไม้” เพราะมีกรดออกซาเลตสูง อันตรายสำหรับคนเป็นโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2561

วิธีแก้ฝ้าแบบธรรมชาติ ง่ายง่าย

ฝ้า

ฝ้า (Melasma) ปัญหาสุดกลุ้มของผิวพรรณ ที่เรียกได้ว่าเป็นญาติสนิทกับรอยกระ เพราะกระบวนการเกิดนั้นคล้ายคลึงกันมาก แต่ฝ้าจะมีบริเวณที่กว้างกว่า มองเห็นได้ชัดกว่า สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกส่วนของใบหน้า แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะมีฝ้าบริเวณโหนกแก้ม โดยตัวเลขเฉลี่ยของคนที่เป็นฝ้าส่วนใหญ่จะเริ่มจากวัย 30 ปีขึ้นไป

สาเหตุการเกิดฝ้า

ฝ้าเกิดจากอะไร ? ฝ้า หรือ Melasma เกิดจากการที่เม็ดสีผิวหรือเม็ดสีเมลานิน (Melanin pigment) ทำงานมากเกินไป จึงทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอ เนื่องมาจากเจ้าเม็ดสีเมลานินนั้นมีหน้าที่กรองรังสียูวี เมื่อผิวได้รับแสงแดดมากขึ้น เมลานินก็จะถูกผลิตออกมามากขึ้นตามไปด้วย โดยรังสีที่มีผลต่อการเกิดฝ้าคือ “รังสี UVA” ซึ่งรังสียูวีเอจะมีช่วงคลื่นที่ยาวกว่ารังสียูวีบี จึงสามารถทำลายผิวได้ลึก จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเมื่อตากแดดนาน ๆ แล้วผิวถึงคล้ำเสียได้ และนอกจากแสงแดดแล้ว เรื่องของการใช้เครื่องสำอางบางชนิด การทานยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด รวมไปถึงฮอร์โมนและกรรมพันธุ์ ก็เป็นสาเหตุของการเกิดฝ้าได้เช่นกัน (ถ้าสาเหตุการเกิดฝ้ามาจากกรรมพันธุ์ โอกาสฝ้าจะกลับมาเกิดซ้ำจะมีสูงมาก และปริมาณอาจเท่าเดิมหรือลดลงกว่าเดิมเล็กน้อย จึงไม่คุ้มค่ากับการทุ่มเงินรักษาเท่าไร)
ฝ้าต่างจากกระ “เพราะฮอร์โมน” ถ้าเป็นกระส่วนใหญ่แล้วจะเกิดจากแสงแดด ความร้อน และอายุ แต่ในกรณีของฝ้ามักจะมีปัจจัยฮอร์โมนเข้ามาค่อนข้างเยอะ เช่น มีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนอย่างรวดเร็วตอนตั้งครรภ์ รวมไปถึงการที่ฮอร์โมนลดลงอย่างรวดเร็วก็ทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน อย่างช่วงการเข้าสู่วัยทอง และวัยหมดประจำเดือน เป็นต้น

ประเภทของฝ้า

  • ฝ้าแบบตื้น จะอยู่ในระดับผิวหนังกำพร้า (ผิวหนังชั้นนอก) ฝ้าชนิดนี้จะเป็นสีน้ำตาล ขอบชัด เกิดขึ้นได้ง่าย และสามารถรักษาให้หายได้โดยใช้เวลาไม่นาน
  • ฝ้าแบบลึก จะอยู่ในระดับที่ลึกกว่าผิวหนังกำพร้า ความลึกของมันจะทำให้เกิดการแสดงสีออกมาเป็นสีน้ำตาลอมฟ้าหรือสีน้ำตาลอมม่วง เป็นฝ้าที่รักษาได้ยาก การทายามักให้ผลเพียงแค่ทำให้ดูจางลงเท่านั้น

วิธีรักษาฝ้า

  1. การป้องกันเป็นเรื่องสำคัญที่สุด คุณควรเริ่มต้นจากการหลีกเลี่ยงแสงแดด ถ้าหากต้องเผชิญแสงแดดก็ควรแต่งกายแบบไม่เผยผิวพร้อมกับทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันผิวจากรังสียูวี โดยเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF30 ขึ้นไป และต้องเป็นแบบ PA+++ ด้วย ถึงจะช่วยปกป้องผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าต้องอยู่ภายใต้แสงแดดตลอดทั้งวัน คุณอาจเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงมากกว่านี้ แต่ให้หมั่นทาครีมกันแดดบ่อย ๆ อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าครีมกันแดดยังมีประสิทธิภาพดีพอต่อการป้องกันแสงแดด ส่วนไอร้อนจากเตา รังสีจากหน้าจอคอมพ์ ก็เป็นเหตุทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน ดังนั้นเลี่ยงได้ควรเลี่ยงเลย นอกจากนี้คุณควรสังเกตตัวเองด้วยว่าเรารับประทานยาอะไรที่เสี่ยงต่อการเกิดฝ้าหรือเปล่า เช่น ยาคุมกำเนิด ใช้เครื่องสำอางอะไรแล้วแพ้จนเป็นรอยคล้ายฝ้าหรือไม่ (ส่วนมากแล้วจะเป็นเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำหอมจะเป็นตัวการทำให้เกิดฝ้าลึก รวมไปถึงครีมทาผิวประเภทไวเทนนิ่งที่มีส่วนผสมของสารอันตรายอย่างสาร “ไฮโดรควิโนน“) เป็นต้น
  2. ดูแลตัวเองจากภายใน นอกจากการทายา ทำทรีตเมนต์ รวมไปถึงการรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ ในระหว่างการรักษาเราสามารถดูแลตัวเองจากภายในได้โดยการรับประทานทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี ที่เป็นตัวช่วยทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ฝ้าขยายตัวใหญ่ขึ้นนั่นเอง
  3. เลือกใช้ครีมบำรุง (ครีมรักษาฝ้า) การเลือกครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของ AHA, วิตามินซี, อาร์บูติน (Arbutin), กรดโคจิก (Kojic) รวมไปถึงครีมทาฝ้า ครีมแก้ฝ้า หรือครีมรักษาฝ้าต่าง ๆ ก็สามารถทำให้ฝ้าจางลงและทำให้หน้าดูกระจ่างใสขึ้นได้ เพียงแต่ต้องใช้ระยะเวลานานหน่อยเท่านั้น
  4. สูตรหัวไชเท้า สูตรรักษาฝ้าด้วยหัวไชเท้า คุณสามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่นำหัวไชเท้าบดหยาบ ๆ มาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-20 นาที (แล้วแต่สภาพหน้าของแต่ละคนว่ารับได้แค่ไหน ส่วนคนที่มีผิวแพ้ง่ายไม่ควรใช้สูตรนี้) แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ให้คุณทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง หรือวันเว้นวัน ก็จะช่วยลดฝ้าทำให้ฝ้าดูจางลงได้มากเลยทีเดียว และนอกจากจะช่วยลดฝ้าได้แล้วหัวไชเท้ายังมีสรรพคุณช่วยลดริ้วรอยต่าง ๆ และทำให้หน้ากระจ่างใสขึ้นได้อีกด้วย แต่หลังจากล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นแล้ว ก็ให้กระชับรูขุมขนด้วยโทนเนอร์หรือน้ำเย็นเพื่อป้องกันไม่ให้รูขุมขนกว้าง
    รักษาฝ้าด้วยหัวไชเท้า
  5. สูตรว่านหางจระเข้ วิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ ให้คุณใช้ว่านหางจระเข้ 1 ใบใหญ่ (เลือกใบล่าง ๆ แบบที่แก่แล้ว) นำไปแช่น้ำประมาณ 10 นาที จากนั้นก็ปอกเปลือกออกและล้างให้สะอาด นำไปปั่นหรือบดก็ได้ตามถนัด แล้วจึงนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที โดยสูตรนี้หากทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ก็จะช่วยให้ฝ้าหายได้ไวยิ่งขึ้น
    สมุนไพรรักษาฝ้าบนใบหน้า
  6. สูตรมะขามเปียก อีกหนึ่งวิธีรักษาฝ้าด้วยสมุนไพร ให้คุณนำเนื้อมะขามเปียกมาพอกหรือทาบาง ๆ บริเวณผิวที่เป็นรอยฝ้า ทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที แล้วล้างออก วิธีนี้จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าทำให้รอยฝ้าดูจางลงและยังช่วยลดรอยด่างดำได้ด้วย แต่ถ้าที่บ้านคุณไม่มีมะขามเปียก ก็อาจเลือกใช้เป็นน้ำมะนาวหรือน้ำมะกรูดแทนก็ได้
  7. สูตรใบบัวบก สมุนไพรรักษาฝ้าอีกสูตร ซึ่งจากการวิจัยพบว่า ใบบัวบกนั้นมีสรรพคุณในการช่วยรักษาอาการของโรคผิวหนังได้ โดยเฉพาะฝ้า กระ และสิว วิธีใช้ก็ไม่ยาก เพียงแค่นำมาปั่นแล้วใช้น้ำใบบัวบกมาเช็ดหน้าแทนการใช้โทนเนอร์ก่อนนอนทุกวัน เพียงเท่านี้รอยฝ้าต่าง ๆ ก็จะค่อย ๆ จางลง เหลือไว้แต่ใบหน้าอันขาวเนียนสดใส
  1. สูตรไข่ขาว เพียงแค่นำไข่ขาวบริเวณรอบ ๆ ไข่แดง (เฉพาะไข่ขาว) มาทาบาง ๆ ให้ทั่วบริเวณที่เป็นฝ้า ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที ไข่ขาวจะช่วยดูดซับรอยฝ้าและสิ่งสกปรกให้หมดไปจากใบหน้าของคุณได้
  2. สูตรน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ ใครจะรู้ว่าน้ำส้มสายชูจากผลแอปเปิ้ลจะมีประโยชน์ในด้านการช่วยดูแลผิวพรรณได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า เนื่องจากในน้ำส้มสายชูนั้นมีฤทธิ์กรด จึงช่วยทำให้ผิวดูกระจ่างใสและเนียนนุ่มขึ้นได้ เพียงแค่คุณนำมันมาผสมกับน้ำเปล่าเล็กน้อย แล้วใช้สำลีชุบและเช็ดให้ทั่วใบหน้า รอจนแห้งแล้วจึงล้างออก
  3. ลอกฝ้าด้วยกรด TCA, กรด AHA ฯลฯ (Chemical peeling) นับว่าเป็นวิธีที่ปลอดภัย (แม้ว่าจะได้ผลช้า) ที่สามารถช่วยทำให้เซลล์ผิวชั้นบนกับเม็ดสีเมลานินหลุดออกมาได้ โดยเป็นการผลัดเซลล์ผิวเก่าและช่วยผลักดันให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ แต่หลังการทำทรีตเมนต์นี้ หน้าของคุณจะไวต่อแสงแดดมาก จึงต้องป้องกันให้ดีหลังการทำ คลินิกที่ให้บริการทรีตเมนต์ตัวนี้จะแนะนำให้ทำเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
  4. ยากินรักษาฝ้า (Tranexamic acid) ปกติแล้วยากินชนิดนี้จะเป็นยากินที่มีคุณสมบัติทำให้เลือดแข็งตัว มีข้อบ่งใช้ที่ได้รับการรับรอง คือ การนำมาใช้รักษาและป้องกันภาวะเลือดออกในผู้ป่วยเลือดไหลหยุดยาก ส่วนการใช้ยานี้เพื่อรักษาฝ้านั้นก็เนื่องมาจากกลไกการออกฤทธิ์ของยาที่สามารถยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่ใช้สร้างเม็ดสีเมลานินได้ จึงมีผลทำให้ฝ้าจางลง อย่างไรก็ตามข้อบ่งใช้ส่วนนี้ยังไม่ได้รับการรับรอง และยังไม่มีรายงานด้านความปลอดภัยเมื่อใช้เป็นระยะเวลานาน อีกทั้งข้อห้ามในการใช้และผลข้างเคียงของยาชนิดนี้ก็มีหลายอย่าง เช่น มีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน เจ็บหน้าอก ปวดกล้ามเนื้อ ฯลฯ และจากการศึกษาผลการรักษาฝ้าส่วนใหญ่ก็มาจากการทดลองในสัตว์ ส่วนการศึกษาในมนุษย์นั้นก็พบเฉพาะในรูปแบบของยาใช้ภายนอกซึ่งก็ไม่ใช่ยากิน ดังนั้นจึงแนะนำว่าผู้จะใช้ยาหรือกำลังใช้อยู่ ให้หาทางเลือกอื่นมาใช้ในการรักษาฝ้าแทน
    ยารักษาฝ้า
  5. รักษาด้วยไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) ยาทาที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนสามารถช่วยให้การผลิตเม็ดสีถูกขัดขวางจนทำให้ผิวบริเวณที่เป็นฝ้าขาวขึ้นมาได้ แต่แม้ว่าไฮโดรควิโนนจะให้ผลในการรักษาที่ดี แต่มันก็มีข้อเสียและควรระวัง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทาง อย. ไทย ไม่อนุญาตให้ซื้อขายกันได้อย่างเสรี เว้นแต่แพทย์เท่านั้นที่สามารถจ่ายครีมที่มีส่วนผสมของยาชนิดนี้ได้
  6. ฉีดเมโสรักษาฝ้า (Mesotherapy) เป็นการใช้เข็มเล็ก ๆ ฉีดตัวยาเข้าไปในชั้นผิวตื้น ๆ เพื่อการกระจายตัวยาที่ใช้รักษากระลงสู่ชั้นเซลล์ที่มีปัญหา โดยจะฉีดลึกลงไปประมาณ 1-2 มม. ระยะห่างกันไม่เกิน 1 เซนติเมตร เฉพาะบริเวณที่มีปัญหากระและฝ้า แต่ต้องทำการฉีดซ้ำทุก ๆ 1-2 อาทิตย์ วิธีนี้ถ้าจะหวังผลการรักษาให้เป็นที่พอใจคงเป็นไปได้ยาก อย่างมากก็แค่ช่วยให้ฝ้าดูจางลงเท่านั้น
  7. ฉีดสเต็มเซล์ มีงานวิจัยชี้ว่าการฉีดสเต็มเซลล์ให้กับคนที่ต้องการรักษาผิวพรรณเพื่อย้อนวัยตัวเอง จะส่งผลทำให้ฝ้าลดลงตามไปด้วย เมื่อทำการทดลองกับคนที่ไม่ได้ต้องการย้อนวัย แต่ต้องการรักษาฝ้าเพียงอย่างเดียว ก็พบว่าสเต็มเซลล์ก็สามารถช่วยลดฝ้าได้จริง ไม่ว่าจะเป็นสเต็มเซลล์จากรกของเด็กที่เพิ่งคลอด หรือสเต็มเซลล์จากผิวหนังแกะ
  8. ไอออนโตรักษาฝ้า (Iontophoresis) เครื่องมือชนิดนี้อาศัยหลักการให้กำเนิดกระแสไฟฟ้าในระดับอ่อน ๆ มีผลช่วยผลักยาหรือวิตามินที่เราทาไว้บนผิวให้ซึมผ่านเข้าสู่ผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ยาออกฤทธิ์ในการรักษาได้ดี โดยยาที่นิยมนำมาใช้จะอยู่ในรูปแบบของเจล อย่างเจลอาร์บูติน, เจลโคจิก, เจลวิตามินซี, เจลลิโคไลซ์ และทรานซามิคเจล การรักษาแบบนี้มีผลข้างเคียงน้อย แต่อาจมีอาการระคายเคืองได้บ้าง หากทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง รับรองได้เลยว่าฝ้าคุณต้องจางลงอย่างแน่นอน ส่วนเครื่องโฟโน (Phonophoresis) ก็สามารถนำมาใช้ร่วมกับเจลเพื่อช่วยผลักยาเข้าสู่ผิวได้เช่นเดียวกับเครื่องไอออนโต ทำแล้วให้ความรู้สึกสบายกว่าการทำไอออนโต แต่โดยส่วนตัวคิดว่าการทำด้วยเครื่องไอออนโตน่าจะให้การรักษาที่ดีกว่า (จากเคสตัวอย่างด้านล่าง คือ ก่อนและหลังการทำไอออนโตโดยใช้วิตามินซี จำนวน 8 ครั้ง)
    รักษาฝ้าที่ไหนดี
  9. กรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี (Microdermabrasion : MD) เพื่อช่วยเร่งการขจัดเซลล์ชั้นหนังกำพร้าให้หลุดเร็วขึ้น ก็สามารถช่วยลดรอยดำจากฝ้าได้ (เหมาะกับฝ้าแบบตื้น) แต่อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ากำหนดระดับความแรงในการทำงานของเครื่องมือสูงเกินไป
    วิธีรักษาฝ้า
  10. รักษาฝ้าด้วย IPL (Intense Pulsed Light) เครื่องประเภทนี้มีหลักการทำงานคล้ายเลเซอร์ (จึงถูกเรียกเหมารวมว่าเป็นเลเซอร์) นั่นก็คือเป็นการใช้แสงยิงลงไปที่ผิวให้เกิดความร้อน และความร้อนนั้นจะไปทำลายโปรตีนของเม็ดสีผิวหรือเมลานิน ทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น กระบวนการทำไม่มีความเจ็บปวดและไม่ต้องทายาชาเหมือนการทำเลเซอร์ทั่วไป หลังทำเสร็จอาจมีรอยแดงบ้างเล็กน้อย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ และจะค่อย ๆ จางหายไปเอง หลังการทำ IPL แล้ว จุดที่เป็นฝ้าแดดอาจมีการตกสะเก็ดบ้าง แต่ไม่ต้องตกใจ เพราะมันจะค่อย ๆ หลุดออกมาเอง และเพื่อให้ผลที่ดีในการรักษาควรทำติดต่อกันทุก 2 สัปดาห์ ในช่วงแรก และกลับมาทำอีกทุก ๆ 1-2 เดือน เพื่อยังผลการรักษาเอาไว้ แต่อย่างไรก็ดี การทำ IPL ก็ไม่สามารถทำให้ฝ้าหายขาดได้ เพียงแต่ช่วยทำให้มันจางลงเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปมีโอกาสจะกลับมามีสีเข้มเหมือนเดิม ดังนั้นทำไปแล้วก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยล่ะ ไม่อย่างงั้นจะเสียเงินฟรี ๆ นะเออ
    รักษาฝ้า
  11. เลเซอร์ Fraxel เป็นเลเซอร์ที่ใช้พลังงานความร้อนเพื่อเข้าไปกระตุ้นเซลล์ผิวให้ผลัดผิวไวยิ่งขึ้น จึงทำให้ส่วนที่เป็นฝ้าถูกผลัดออกไปด้วย การทำ Fraxel แม้จะมีความปลอดภัยแต่ก็ทำให้ใบหน้าบวมแดงได้หลังจากทำเสร็จแล้ว และยังต้องระวังตัวเองจากแสงแดดในช่วงสัปดาห์แรกหลังทำให้มาก หากต้องการทำซ้ำ ควรทิ้งระยะห่างประมาณ 2 เดือน หรือขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
    เลเซอร์รักษาฝ้า
  12. เลเซอร์ Yag เป็นเลเซอร์รักษาฝ้าแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยม ซึ่งการทำ Yag คือการส่งคลื่นแสงลงไปถึงชั้นผิว วิธีนี้ค่อนข้างจะปลอดภัย ทิ้งสะเก็ดน้อยจนถึงไม่มีสะเก็ดเลยสำหรับเครื่องรุ่นใหม่ แต่ในช่วงหลังทำผิวของคุณจะไวต่อแสงมาก ดังนั้นจึงต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดหลังทำประมาณ 1 สัปดาห์ (ถ้าจำเป็นต้องออกนอกบ้าน ก็ต้องทาครีมกันแดดป้องกันไว้ด้วย)