ความรู้เรื่องการกดจุดเป็นของเก่าแก่และมีมานานหลายพันปีซึ่งเป็นที่ยอมรับของชาวจีน ศาสตร์แห่งการกดจุดได้แพร่หลายไปทั่วโลก ทั้งในอเมริกาและยุโรป โดยเฉพาะในยุโรป Dr.Frank Bahr ท่านเป็นแพทย์ชาวเยอรมัน เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการกดจุดโดยเฉพาะ ท่านได้ศึกษาและเขียนตำราการกดจุดไว้ ซึ่งผู้เขียนเห็นว่ามีประโยชน์ เหมาะสำหรับนำมาเผยแพร่แก่ประชานชนในการดูแลสุขภาพ เพราะการกดจุดก็คือศาสตร์แขนงเดียวกับการฝังเข็มที่เราๆท่านๆรู้จักกันดี แต่กดจุดเป็นการฝังเข็มโดยไร้เข็ม ทั้งยังไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดเหมือนฝังเข็ม และไม่มีอันตรายใดๆต่อผู้ทำ ถ้าท่านกดได้ถูกวิธีและมีประสิทธิภาพก็จะได้ผลในการรักษา ทั้งยังช่วยเสริมการรักษาของแพทย์ให้หายเร็วขึ้น แต่ถ้าท่านทำแล้วไม่ได้ผล ก็ไม่มีข้อเสียหายอะไร
|
หน้าฝนอีกแล้ว ไม่แคล้วต้องเป็นหวัดกันอีก(แน่) ถ้าไม่ดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงโรคหวัดจะเกิดการอักเสบของเยื่อบุโพรงจมูก ซึ่งเป็นอาการของหวัดธรรมดา ถ้าอาการมากจะนำไปสู่การอักเสบของโพรงไซนัส ซึ่งจะมีอยู่หลายแห่งรอบๆจมูก เมื่อโพรงไซนัสอักเสบจะบวมและปวดในโพรงนี้ ถ้าโพรงไซนัสอักเสบจำเป็นต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ทางหู คอ จมูก เพราะบางรายอาจจะต้องเปิดเจาะโพรงไซนัส เพื่อให้หนองที่ขังภายในโพรงไหลออกมา
อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณใช้วิธีกดจุดรักษาหวัดร่วมกับการรักษาของแพทย์ จะทำให้หวัดหายเร็วขึ้น และยังช่วยไม่ให้เกิดโรคอื่นแทรกซ้อนตามมาด้วย
⇒ อาการ
มีไข้ตัวร้อนเป็นพักๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว อ่อนเพลีย ปวดศีรษะเล็กน้อย คัดจมูก น้ำมูกใส จาม คอแห้ง และเจ็บคอเล็กน้อย ไอแห้งๆ หรือไอมีเสมหะน้อยลักษณะสีขาว
ในผู้ใหญ่อาจไม่มีไข้ มีเพียงอาการคัดจมูก น้ำมูกใส ถ้าเป็นหวัดเกิน 3 วันแล้วไม่หาย อาจมีน้ำมูกข้นสีเหลือหรือเขียว หรือมีเสมหะสีเหลืองหรือเขียว แสดงว่าเกิดการอักเสบซ้ำจากเชื้อแบคทีเรีย ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
⇒ สาเหตุ
เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งมีอยู่กว่า 200 ชนิด ซึ่งผลัดเปลี่ยนกันทำให้เป็นไข้หวัด
1. นั่งหรือนอนในท่าที่สบายมือที่จะกดจุดไม่ควรเย็น ถ้าเย็นควรทำมือให้อุ่นก่อนโดยแช่ในน้ำอุ่น หรือใช้ผ้าห่อมือไว้
2. ถ้าท่านมีผิวหนังที่แพ้ง่าย อาจจะใช้โลชั่นหรือแป้งฝุ่นทาบริเวณที่จะกดจุดก่อนลงมือกดจุด
3. ระหว่าทำการกดจุด บางรายอาจจะมีเหงื่อออกมาก ควรให้พักระหว่างการกดจุดได้
4. .ในวันที่อากาศหนาวเย็น เมื่อกดจุดเสร็จเรียบร้อย ก่อนออกไปนอกบ้านควรสวมเสื้อให้อบอุ่น
1. การกดจุด หมายถึงการนวดจุดๆนั้นโดยใช้ปลายนิ้วมือที่เล็บสั้น
2. อ่านและดูรูปที่แสดงตำแหน่งการกดจุดให้เข้าใจ แล้วลองกดจุดที่อยู่บนร่างกาย สำหรับจุดที่อยู่บนใบหูอาจจะใช้กระจกส่องช่วยหาจุด หรือวานให้ใครคนใดคนหนึ่งดูจุดนั้นในรูปแล้วชี้ตำแหน่งให้
3. เมื่อท่านกดถูกจุดๆนั้นจะให้ความรู้สึกได้ดีกว่าบริเวณรอบๆ และควรกดจุดให้แรงพอ
4. นิ้วมือที่นิยมใช้กดจุด มักใช้นิ้วชี้ โดยให้ปลายนิ้วมือตั้งฉากกับผิวหนัง และนวดไปตามทิศทางที่ลูกศรชี้ในภาพ นวด (ถู) ออกไปเป็นระยะทาง 1 นิ้ว การนวดควรนวดประมาณ 30 ครั้ง ต่อ 10 วินาที หรือ 70-100 ครั้งต่อนาที
5. จุดบนใบหูอาจจะใช้ปลายนิ้วก้อยหรือปลายดินสอ ปากกามนๆ นวดได้ เพราะบริเวณใบหูเล็กและแคบกว่าร่างกาย
6. การกดจุดตามหลักของจีนได้กำหนดเวลาในการกดแต่ละครั้งไว้ดังนี้
เด็กอายุ 0-3 เดือน ใช้เวลากดทั้งหมด ½-3 นาที
เด็กอายุ 3-6 เดือน ใช้เวลากดทั้งหมด 1-4 นาที
เด็กอายุ 6-12 เดือน ใช้เวลากดทั้งหมด 1-5 นาที
เด็กอายุ 1-3 ปี ใช้เวลากดทั้งหมด 3-7 นาที
เด็กโต ตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ใช้เวลากดทั้งหมด 5-10 นาที
ผู้ใหญ่ ใช้เวลากดทั้งหมด 5-10-15 นาที
7. จุดที่กดอยู่บนร่างกาย ควรกดหรือนวดทั้ง 2 ข้างของลำตัว (ร่างกายจะแบ่งเป็น 2 ข้าง คือ ข้างขวาและซ้าย)
8. ระยะต่างๆ ที่ใช้ในการวัด จะวัดจากความกว้างของนิ้วมือของผู้กดจุดเอง
⇒ ตำแหน่งที่กดจุด
กดจุดที่ร่างกาย
![](https://www.doctor.or.th/sites/default/files/86-012.1.jpg)
1. จุด “เฉียนเจียว” (chii-chiao)
วิธีหาจุด : จุดจะอยู่ห่างจากปลายจมูกไปทางด้านข้าง 1 ½ นิ้วมือ ซึ่งจะตรงกับตาดำพอดี
วิธีนวด : นวดลงล่าง(ดังรูป)
2. จุด “ซือไป๋” (szu-pai)
วิธีหาจุด : จุดนี้จะเป็นแอ่งเล็กๆ อยู่ต่ำกว่าตาดำ 2 นิ้วมือ
วิธีนวด : นวดลงล่าง
3. จุด “อิ๋งเซียง” (ying-hsing)
วิธีหาจุด : จุดนี้อยู่บนยอดของปีกจมูก
วิธีนวด : นวดเข้าหาสันจมูก
4. จุด “เหอเจียว” (ho-chiao)
วิธีหาจุด : อยู่ใต้รูจมูก หรืออยู่ห่างจากริมฝีปาก 1 ½ นิ้ว อยู่ติดกับร่องปาก
วิธีนวด : นวดออกไปด้านข้าง (ดังรูป)
5. จุด “อิ้งถัง” (inn-trang)วิธีหาจุด : อยู่กึ่งกลางระหว่างคิ้วสองข้าง
วิธีนวด : นวดลง(ดังรูป)
6. จุด “จิงหมิง” (ching-ming)
วิธีหาจุด : อยู่ที่หัวคิ้วทั้ง 2 ข้าง
วิธีนวด : นวดขึ้นบน
7. จุด “เหอกู่” (ho-ku)
วิธีหาจุด : อยู่หลังมือต่ำกว่านิ้วชี้ประมาณ 2 นิ้วมือ และห่างจากหัวแม่มือประมาณ ½ นิ้วมือ
วิธีนวด : นวดเข้าหาข้อศอก(ดังรูป)
8. จุด “จั่นจู๋” (ts’uan-chu)
วิธีหาจุด : อยู่ใกล้กับหัวตาด้านข้างของสันจมูก
วิธีนวด : นวดขึ้นบน(ดังรูป)
การกดจุดที่ใบหู
หูขวา
1. จุดบริเวณตีนหู มี 3 จุด (2 จุดอยู่ที่ติ่งหูส่วนบน, ส่วนล่างอีก 1 จุด)
วิธีนวด : 2 จุดบนให้นวดไปด้านหลัง
1. จุดล่างให้นวดขึ้นและเอียงไปด้านหน้า
2. จุดสันหูส่วนที่โผล่มาจากแอ่งหู
วิธีนวด : นวดขึ้นตามแนวสันหู(ดังรูป)
![](https://www.doctor.or.th/sites/default/files/86-012.6.jpg)
หูซ้าย : นวดในตำแหน่งเดียวกันกับหูขวาแต่ทิศทางตรงกันข้าม
⇒ การรักษาใบหูและร่างกายนวดสลับวันกัน นวดวันละ 1-3 ครั้ง นวดนานครั้งละ 5-10 นาที ขึ้นกับความรุนแรงและสิ่งที่จะลืมไม่ได้ก็คือ เวลาเป็นหวัดต้องใส่เสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่นเสมอ