วันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

สูตรน้ำยำ

สูตร " น้ำยำเงินแสน " และเคล็ดลับ"ที่เก็บไว้ได้นาน ทำกินทำขายรวยกันไปเลย!

สูตรนี้อร่อยมากๆเลยสำหรับน้ำยำรสเด็ด เรามาลงมือทำไปพร้อมๆกันเลยค่ะ

ส่วนผสม


น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ

น้ำปลา 4 ช้อนโต๊ะ

น้ำกระเทียมดอง 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำมะนาว 6 ช้อนโต๊ะ

น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ

ซอสมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะ

พริกแดงสับ 2 ช้อนโต๊ะ

กระเทียมสับ 2 ช้อนโต๊ะ

ผงปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ



วิธีทำ


นำภาชนะมาตักน้ำเปล่าใส่ 2 ช้อนโต๊ะ

น้ำกระเทียมดอง 1 ช้อนโต๊ะ

บีบน้ำมะนาวใส่ 6 ช้อนโต๊ะ

กลมกล่อมด้วยน้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ

หวานหอมด้วย น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ

ซอสมะเขือเทศเป็นเคล็ดลับ...น้ำยำเทวดา เพื่อช่วยสร้างสีสรรค์ให้อาหารทุกชนิด สีสด สวย 1 ช้อนโต๊ะ

ผงปรุงรส...จะใส่หรือไม่ใส่..ก็ได้ เพราะไม่เน้น

ใส่กระเทียมสับ 2 ช้อนโต๊ะ

ตามด้วยพริกสับ 2 ช้อนโต๊ะ ถ้า 3 ช้อนโต๊ะใช้ช้อนคนให้ส่วนผสมเข้ากัน

เปิดไฟใช้ความร้อนปานกลาง เคี่ยวส่วนผสม พอน้ำยำเดือดจับเวลา 2 นาที

ต้องหมั่นคนอยู่ตลอดเวลา กลัวเดือดฟู ...ล้นภาชนะ

ปิดไฟใช้ได้

รอให้เย็นสักพัก เทใส่ขวด..นำเข้าตู้เย็นเก็บไว้ใช้..

เคล็ดลับปรุงน้ำยำ

ควรใช้มะนาวแท้

ที่สำคัญที่สุด ขอให้เป็นมะนาวแท้ๆ เป็นลูกๆนะคะ

ส่วนตัวเราว่า อร่อยมากกว่า มะนาวเทียม น้ำส้มสายชู

สูตรไก่อบโอ่ง


แจกสูตรเด็ดไก่อบโอ่ง สูตรลับความอร่อย ที่อยากบอกต่อ

เริ่มแรกนำไก่ที่จะอบไปล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นเตรียมเครื่องปรุงได้แก่ นมสด เกลือ ตะไคร้ ใบมะกรูด ใบแมงรัก ซอสปรุงรส แล้วนำเครื่องปรุงทั้งหมดไปหมัก 

ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ต่อมาทาเครื่องปรุงภายนอกตัวไก่ให้ทั่ว จากนั้นก็จะนำเครื่องที่เตรียมไว้เหมือนครั้งแรกเอาไปใส่ในท้องไก่ให้พอดี 

แล้วนำไก่เกี่ยวกับตะคอ เกาะที่ปากโอ่ง ตัวไก่ก็จะหย่อนลงไปในโอ่ง แล้วปิดฝาโอ่ง นั่นคือการอบไก่ โดยอบไก่ครั้งละ 5-7 ตัว 

ซึ่งโอ่งที่ใช้อบก็จะเป็นโอ่งมังกร เจาะที่ก้นเพื่อให้ใส่เตาไฟได้ แล้วทำเป็นตะแกงลวดสำหรับวางโอ่ง สูงจากพื้นดินประมาณ 50 ซม. 

ส่วนไฟที่ใช้อบไก่จะต้องใช้ไฟไม่แรง คือให้ไฟพอดี โดยใช้เวลาอบไก่ประมาณ 20 นาทีก็สุก และนำออกมาจากโอ่งเพื่อจำหน่าย ซึ่งเรียกว่าไก่อบโอ่งสมุนไพรปลอดสารพิษ การันตีรสชาติอร่อย 
ปรากฏว่าได้ผลดีมาก ขายดีทำขายแทบไม่ทัน ลูกค้าชื่นชอบติดใจในรสชาติเลยต่อยอดด้วยการทำไก่อบโอ่ง 4 ภาค 

โดยทดลองทำให้เพื่อนบ้านรับประทานก่อน ซึ่งไก่อบโอ่ง 4 ภาคจะมีจุดเด่นของแต่ละภาคไม่เหมือนกัน เช่น ภาคเหนือจะเน้นที่พริกแกงเป็นหลัก ภาคกลางเน้นกระเทียมพริกไทย ภาคใต้เน้นขมิ้น ส่วนภาคอีสาน เน้นตะไคร้ ใบมะกรูด กระเทียม ใบแมงรัก เมื่อผ่านการอบโอ่งจนสุกจะมีรสชาติกลมกล่อม หอม แตกต่างกันด้วยรสชาติที่อร่อย และหอมสมุนไพร บำรุงร่างกาย จึงมีผู้นิยมรับประทานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

การทำน้ำจิ้มไก่ก็ไม่มีอะไรยุ่งยาก มีเครื่องปรุงได้แก่ น้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย พริกป่น เกลือ และซอสปรุงรส เมื่อได้ครบแล้วให้นำทั้งหมดมาปรุงรวมกัน จะออกมาเป็นน้ำจิ้มไก่ที่แสนอร่อย ซึ่งที่ร้านจะมีรสชาติหวานอมเปรี้ยว หากต้องการรสอะไรก็เพิ่มเครื่องปรุงลงไปตามใจชอบ ก็จะได้น้ำจิ้มไก่ตามต้องการ 

วิธีแก้ อาการสะอึก

วิธีแก้ อาการสะอึก ได้ผลมากๆ
เรื่องมีอยู่ว่า  ผมดื่มเบียร์กับเพื่อน สงสัยจะดื่มมากไป หรือดื่มผิดจังหวะอะไรซักอย่าง
...... มันเกิดอาการสะอึกขึ้นมา ทำอย่างไรก็ไม่หายซักที
       ขอคำปรึกษาจากเพื่อนในเฟสบุ๊ค มีคนแนะนำทำวิธีโน่น นี่ นั่น ลองทำแล้วแต่แล้วก็ไม่ได้ผลซักที

       ผมเลยเปิดหาวิธีการในอินเตอร์เน็ต และได้วิธีการสุดยอด แบบฉบับแผนจีน มาจากกูรูท่านนึง

วิธีการง่ายๆ มากๆ แถมทำให้ โล่งสบายอีกด้วย ใครนอนไม่หลับน่าลองนำไปใช้ครับ

การกดจุด
บนใบหน้าของเรามี จุดต่างๆ มากมาย  อันนี้เราจะให้ ดูที่  จ่านจู้ (อยู่ตรงตำแหน่งหัวคิ้ว)

วิธีการคือ
ให้นอนหงาย   กรณีทำด้วยตัวเอง ให้เอานิ้วหัวแม่มื้อทั้งสองข้าง แตะที่จุดจ่านจู้ (หัวคิ้ว) ส่วนอีก 4 นิ้ว ให้จับที่ศรีษะของตัวเอง (ลักษณะการจับ เหมือนเวลา กุมขมับ แต่ให้กางนิ้วหัวแม่มือเพิ่มขึ้น)

เริ่มต้น  ใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้าง แตะ แล้วนวดคลึงเป็นวงกลม ตำแหน่งเมื่อนิ้วหัวแม่มือกดลงไป จะอยู่ใกล้ๆ กับเบ้าตา ของคุณเอง

กดวนๆ คลึงๆ ไปเรื่อยๆ คุณจะรู้สึกโล่งจมูกมาก และจะรู้สึกสบายขึ้น หากมีอาการปวดหัว ก็ให้นวดคลึงไปเรื่อยๆ

หลังจากลองทำแล้ว ประมาณ 5 นาที ......ปรากฏว่าได้ผลจริงๆ ครับ หายทันทีเลย

ใครเกิดอาการนี้ ลองใช้วิธีนี้ดูนะครับ ^^

****************
ข้อมูลเสริม
****************
สาเหตุของการ "สะอึก"

      เชื่อกันว่าเกิดจากการรับประทานอาหารมากเกิน เร็วเกินไป บางคนอาจจะมีความตึงเครียดมากไป บางคนอาจเกิดจากการดื่มเครื่องดื่มประเภทมีแอลกอฮอล์ในกระเพาะอาหาร หรือสูบบุหรี่มากเกินไป ตลอดจนการบริโภคอาหารที่ทำให้มีก๊าซมากก็อาจเป็นสาเหตุของการสะอึกได้

       นอกจากนี้ ยังเกิดจากการที่มีอะไรไปรบกวนประสาทที่ควบคุมการทำงานของกะบังลม ลมในกระเพาะอาหารขยายตัวไปกระตุ้นปลายประสาทที่มาเลี้ยงกะบังลม หรืออวัยวะใกล้กะบังลมเป็นโรคบางอย่าง เช่น เกิดเป็นเยื่อหุ้มปอดอักเสบ มูลเหตุเหล่านี้ทำให้ กะบังลมหดตัวอย่างรุนแรงทันทีทันใด การบีบรัดตัวของกะบังลมทำให้แผ่นเหนือกล่องเสียงที่คอหอยซึ่งปกติคอยกั้นไม่ ให้อาหารเข้าไปในหลอดลมปิดลง เมื่อกะบังลมหดอย่างรุนแรงก็จะดึงอากาศเข้าสู่ปอดผ่านคอหอย อากาศจึงกระทบกับแผ่นปิด แล้วทำให้สายเสียงสั่นสะเทือน จึงเกิดเสียงสะอึก

       ด้านความผิดปกติในบริเวณคอ และหน้าอก เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการสะอึกได้เช่นกัน เช่น เป็นก้อนเนื้องอก ต่อมน้ำเหลืองโต หรือเกิดจากโรคในช่องท้อง เช่น เยื่อบุช่องท้องอักเสบ ไตวาย หรือภายหลังการผ่าตัดช่องท้อง เป็นต้น อีกทั้งอาการสะอึกยังขึ้นอยู่กับอารมณ์ เช่น ความรู้สึกช็อก ความเครียดเรื้อรัง เป็นต้น หรือ เกิดจากยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะกลุ่ม Beta-lactams, macrolides, fluoroquinolone หรือแอลกอฮอล์

วิธีแก้ผมร่วง

เส้นผม ดกดำ เงางาม ทำให้คุณดูสวยและดูหล่อขึ้น แต่หลายคนมีปัญหากับเรื่องนี้ ตอนเช้าตื่นขึ้นผมร่วงเต็มไปหมด และพยายามหายาทา ยากิน หาหมอเพื่อปลูกผม วันนี้หมอตี๋ มีวิธีกดจุดง่ายๆด้วยตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้ผมร่วงในตอนเช้า 
นอกจากการนวดหนังศีรษะแล้ว การกดจุด หย่งเฉวียน (涌泉)ที่ฝ่าเท้าก็สามารถแก้ผมร่วงได้เช่นกัน ในหลักของแพทย์จีน ขนและผมที่ขึ้นตามร่างกายจะมีพลังไตไปหล่อเลี้ยง ถ้าพลังไตเต็มเปี่ยมผมของเราก็จะเงางาม ดกดำ ไม่ร่วงง่าย ถ้าพลังไตพร่องจะทำให้ เส้นผมเป็นขาว และหลุดร่วงไป จุดหยงเฉวียน เป็นจุดแรกของเส้นลมปราณไต สรรพคุณบำรุงไต ลดความร้อน ฉนั้น ใครที่ผมร่วงบ่อยๆ ลองกดจุดนี้ก่อนนอนวันละ100-200ครั้ง ทำติดต่อกันเป็นประจำทุกวันแล้วคุณจะเห็นผลชัดเจน
จุดหย่งเฉวียน(涌泉) อยู่บริเวณกลางฝ่าเท้า งอนิ้วเท้าทั้งห้าเข้าหาอุ้งเท้า ที่อุ้งเท้าจะปรากฏรอยบุ๋ม จุด หย่งเฉวียนจะอยู่ตรงรอยบุ๋มนี้
ข้อมูลโดย Dr ตี๋ แพทย์จีน
เรียบเรียงโดย ก.ต.

วิธีแก้ปวดฟัน

  

จุดที่กด
1.จุดเหอกู่
ตำแหน่ง คว่ำฝ่ามือลง ให้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้แนบชิดติดกัน จุดเหอกู่จะอยู่ตรงจุดสูงสุดของกล้ามเนื้อที่นูนขึ้นมาระหว่างนิ้วทั้งสอง (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน “หมอชาวบ้าน” ฉบับที่ 32 ธันวาคม 2524) (รูปที่ 1)
วิธีหาจุด :
 
ให้กางหัวแม่มือและนิ้วชี้ออก ให้หัวแม่มืออีกข้างหนึ่ง (ตรงรอยแบ่งข้อหัวแม่มือข้อแรก) ทาบลงบนกลางง่ามมือ (รูปที่ 2)

 
วิธีกด :ใช้นิ้วหัวแม่มือข้างหนึ่งกดอีกข้างหนึ่ง (ในกรณีที่กดตัวเอง) หรือจะให้คนอื่นกดให้ โดยใช้หัวแม่มือกดจุดทั้งสองพร้อมๆ กัน (รูปที่ 3)
2.จุดเจี๋ยเชอ

ตำแหน่ง ให้กัดฟันทั้งสองข้าง จุดเจี๋ยเชอจะอยู่ตรงรอยนูนขึ้นของกล้ามเนื้อตรงแก้มทั้ง 2 ข้าง (รูปที่ 4)
วิธีกด : ใช้หัวแม่มือกดและคลึงเบาๆ บนจุดเจี๋ยเชอ

3.จุดหยาท้ง
ตำแหน่ง:อยู่ระหว่างนิ้วที่ 3 และ 4 บนฝ่ามือ ใต้ง่ามนิ้วประมาณ 1 นิ้ว (ดูรูปที่ 5)
วิธีกด :
ใช้นิ้วหัวแม่มือกดและคลึงเบาๆ บนจุดหยาท้ง

หมายเหตุ :การกดจุดในกรณีที่ 1, 2 และ 3 เวลากดจะรู้สึกเสียวหรือชาหรือมีอาการปวดหน่วงๆ ตรงบริเวณที่กด ถ้าจุดตรงกับหลอดเลือด อาจทำให้ช้ำได้
สำหรับข้อ 1 ใช้ในกรณีปวดฟันบน ถ้าปวดด้านซ้ายให้กดจุดเหอกู่ที่มือขวา ถ้าปวดด้านขวาให้กดจุดเห่อกู่ด้านซ้ายมือ
สำหรับข้อ 2 ใช้ในกรณีปวดฟันล่าง ถ้าปวดด้านใดด้านก็ให้กดด้านนั้น
ส่วนข้อ 3 ให้ใช้กดเมื่อปวดฟันทั้งบนและล่าง หรือเฉพาะบนหรือเฉพาะล่าง ถ้าปวดด้านใดก็กดบนมือด้านนั้น

“ดีขึ้นไหม ลูก ?”

“ค่อยยังชั่วแล้วครับ คุณแม่”

“วันหลังอย่ากินท๊อฟฟี่อีกนะ ก่อนนอนและตื่นเช้าควรแปรงฟันทุกวัน หลังกินข้าวควรบ้วนปากเสีย เศษอาหารจะได้ไม่ติดตามซอกฟัน เป็นการป้องกันฟันผุ”

เฮ้อ ! กลุ้มใจจัง เด็กสมัยนี้ติดทีวี.เสียงอมแงม

ติดทีวี. อย่างเดียวไม่ว่า ที่ร้ายกว่านั้นก็รายการโฆษณาสินค้าอย่างบ้าเลือด เล่นเอาพ่อแม่ย่ำแย่ไปตามๆ กัน เพราะเจ้าหนูทั้งหลายต้องร้องไหโยเยเพื่อขอเงินพ่อแม่ไปซื้อ ถ้าเป็นขนมหรือท๊อฟฟี่หรือลูกอมก็ทำให้ฟันผุและปวดฟันอย่างนี้แหละ ไม่รู้จะแก้กันอย่างไร ข้าละหน่าย !

โปรดทราบว่า การกดจุดระงับอาการปวดฟันด้วยวิธีนี้ จะระงับอาการปวดฟันได้ชั่วคราวเหมือนกินยาแก้ปวด ถ้าหากปวดฟันเพราะฟันผุ จะต้องรักษาที่ต้นเหตุ ให้ถอนฟันซี่ที่ผุเถอะครับ

กดจุดแก้หวัด

ความรู้เรื่องการกดจุดเป็นของเก่าแก่และมีมานานหลายพันปีซึ่งเป็นที่ยอมรับของชาวจีน ศาสตร์แห่งการกดจุดได้แพร่หลายไปทั่วโลก ทั้งในอเมริกาและยุโรป โดยเฉพาะในยุโรป Dr.Frank Bahr ท่านเป็นแพทย์ชาวเยอรมัน เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการกดจุดโดยเฉพาะ ท่านได้ศึกษาและเขียนตำราการกดจุดไว้ ซึ่งผู้เขียนเห็นว่ามีประโยชน์ เหมาะสำหรับนำมาเผยแพร่แก่ประชานชนในการดูแลสุขภาพ เพราะการกดจุดก็คือศาสตร์แขนงเดียวกับการฝังเข็มที่เราๆท่านๆรู้จักกันดี แต่กดจุดเป็นการฝังเข็มโดยไร้เข็ม ทั้งยังไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดเหมือนฝังเข็ม และไม่มีอันตรายใดๆต่อผู้ทำ ถ้าท่านกดได้ถูกวิธีและมีประสิทธิภาพก็จะได้ผลในการรักษา ทั้งยังช่วยเสริมการรักษาของแพทย์ให้หายเร็วขึ้น แต่ถ้าท่านทำแล้วไม่ได้ผล ก็ไม่มีข้อเสียหายอะไร 
หน้าฝนอีกแล้ว ไม่แคล้วต้องเป็นหวัดกันอีก(แน่) ถ้าไม่ดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงโรคหวัดจะเกิดการอักเสบของเยื่อบุโพรงจมูก ซึ่งเป็นอาการของหวัดธรรมดา ถ้าอาการมากจะนำไปสู่การอักเสบของโพรงไซนัส ซึ่งจะมีอยู่หลายแห่งรอบๆจมูก เมื่อโพรงไซนัสอักเสบจะบวมและปวดในโพรงนี้ ถ้าโพรงไซนัสอักเสบจำเป็นต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ทางหู คอ จมูก เพราะบางรายอาจจะต้องเปิดเจาะโพรงไซนัส เพื่อให้หนองที่ขังภายในโพรงไหลออกมา
อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณใช้วิธีกดจุดรักษาหวัดร่วมกับการรักษาของแพทย์ จะทำให้หวัดหายเร็วขึ้น และยังช่วยไม่ให้เกิดโรคอื่นแทรกซ้อนตามมาด้วย

⇒ อาการ
มีไข้ตัวร้อนเป็นพักๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว อ่อนเพลีย ปวดศีรษะเล็กน้อย คัดจมูก น้ำมูกใส จาม คอแห้ง และเจ็บคอเล็กน้อย ไอแห้งๆ หรือไอมีเสมหะน้อยลักษณะสีขาว
ในผู้ใหญ่อาจไม่มีไข้ มีเพียงอาการคัดจมูก น้ำมูกใส ถ้าเป็นหวัดเกิน 3 วันแล้วไม่หาย อาจมีน้ำมูกข้นสีเหลือหรือเขียว หรือมีเสมหะสีเหลืองหรือเขียว แสดงว่าเกิดการอักเสบซ้ำจากเชื้อแบคทีเรีย ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ

⇒ สาเหตุ
เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งมีอยู่กว่า 200 ชนิด ซึ่งผลัดเปลี่ยนกันทำให้เป็นไข้หวัด
                                                          ข้อแนะนำทั่วไปก่อนกดจุด
 1. นั่งหรือนอนในท่าที่สบายมือที่จะกดจุดไม่ควรเย็น ถ้าเย็นควรทำมือให้อุ่นก่อนโดยแช่ในน้ำอุ่น หรือใช้ผ้าห่อมือไว้

2. ถ้าท่านมีผิวหนังที่แพ้ง่าย อาจจะใช้โลชั่นหรือแป้งฝุ่นทาบริเวณที่จะกดจุดก่อนลงมือกดจุด

3. ระหว่าทำการกดจุด บางรายอาจจะมีเหงื่อออกมาก ควรให้พักระหว่างการกดจุดได้

4. .ในวันที่อากาศหนาวเย็น เมื่อกดจุดเสร็จเรียบร้อย ก่อนออกไปนอกบ้านควรสวมเสื้อให้อบอุ่น
 
                                                             ข้อแนะนำก่อนกดจุด
 1. การกดจุด หมายถึงการนวดจุดๆนั้นโดยใช้ปลายนิ้วมือที่เล็บสั้น

2. อ่านและดูรูปที่แสดงตำแหน่งการกดจุดให้เข้าใจ แล้วลองกดจุดที่อยู่บนร่างกาย สำหรับจุดที่อยู่บนใบหูอาจจะใช้กระจกส่องช่วยหาจุด หรือวานให้ใครคนใดคนหนึ่งดูจุดนั้นในรูปแล้วชี้ตำแหน่งให้

3. เมื่อท่านกดถูกจุดๆนั้นจะให้ความรู้สึกได้ดีกว่าบริเวณรอบๆ และควรกดจุดให้แรงพอ

4. นิ้วมือที่นิยมใช้กดจุด มักใช้นิ้วชี้ โดยให้ปลายนิ้วมือตั้งฉากกับผิวหนัง และนวดไปตามทิศทางที่ลูกศรชี้ในภาพ นวด (ถู) ออกไปเป็นระยะทาง 1 นิ้ว การนวดควรนวดประมาณ 30 ครั้ง ต่อ 10 วินาที หรือ 70-100 ครั้งต่อนาที

5. จุดบนใบหูอาจจะใช้ปลายนิ้วก้อยหรือปลายดินสอ ปากกามนๆ นวดได้ เพราะบริเวณใบหูเล็กและแคบกว่าร่างกาย

6. การกดจุดตามหลักของจีนได้กำหนดเวลาในการกดแต่ละครั้งไว้ดังนี้
เด็กอายุ 0-3 เดือน ใช้เวลากดทั้งหมด ½-3 นาที
เด็กอายุ 3-6 เดือน ใช้เวลากดทั้งหมด 1-4 นาที
เด็กอายุ 6-12 เดือน ใช้เวลากดทั้งหมด 1-5 นาที
เด็กอายุ 1-3 ปี ใช้เวลากดทั้งหมด 3-7 นาที
เด็กโต ตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ใช้เวลากดทั้งหมด 5-10 นาที
ผู้ใหญ่ ใช้เวลากดทั้งหมด 5-10-15 นาที

7. จุดที่กดอยู่บนร่างกาย ควรกดหรือนวดทั้ง 2 ข้างของลำตัว (ร่างกายจะแบ่งเป็น 2 ข้าง คือ ข้างขวาและซ้าย)

8. ระยะต่างๆ ที่ใช้ในการวัด จะวัดจากความกว้างของนิ้วมือของผู้กดจุดเอง

⇒ ตำแหน่งที่กดจุด
กดจุดที่ร่างกาย

                                             

1. จุด “เฉียนเจียว” (chii-chiao)

วิธีหาจุด : 
จุดจะอยู่ห่างจากปลายจมูกไปทางด้านข้าง 1 ½ นิ้วมือ ซึ่งจะตรงกับตาดำพอดี
วิธีนวด    :  นวดลงล่าง(ดังรูป)

                                            
2. จุด “ซือไป๋” (szu-pai)
วิธีหาจุด  :   จุดนี้จะเป็นแอ่งเล็กๆ อยู่ต่ำกว่าตาดำ 2 นิ้วมือ
วิธีนวด     :   นวดลงล่าง


3. จุด “อิ๋งเซียง” (ying-hsing) 

วิธีหาจุด :  จุดนี้อยู่บนยอดของปีกจมูก
วิธีนวด    :   นวดเข้าหาสันจมูก

                                             
 4. จุด “เหอเจียว” (ho-chiao)

วิธีหาจุด  :   
อยู่ใต้รูจมูก หรืออยู่ห่างจากริมฝีปาก 1 ½ นิ้ว อยู่ติดกับร่องปาก
วิธีนวด     :   นวดออกไปด้านข้าง  (ดังรูป)
                                                

5. จุด “อิ้งถัง” (inn-trang)
วิธีหาจุด  :   อยู่กึ่งกลางระหว่างคิ้วสองข้าง
วิธีนวด     :   นวดลง(ดังรูป)


6. จุด “จิงหมิง” (ching-ming)
วิธีหาจุด   :   อยู่ที่หัวคิ้วทั้ง 2 ข้าง
วิธีนวด     :   นวดขึ้นบน
 

                                       
7. จุด “เหอกู่” (ho-ku)
วิธีหาจุด  :   อยู่หลังมือต่ำกว่านิ้วชี้ประมาณ 2 นิ้วมือ และห่างจากหัวแม่มือประมาณ ½ นิ้วมือ
วิธีนวด     :   นวดเข้าหาข้อศอก(ดังรูป)

                                            

 
8. จุด “จั่นจู๋” (ts’uan-chu)
วิธีหาจุด   :   อยู่ใกล้กับหัวตาด้านข้างของสันจมูก
วิธีนวด      :   นวดขึ้นบน(ดังรูป)

 
การกดจุดที่ใบหู
หูขวา
1. จุดบริเวณตีนหู มี 3 จุด (2 จุดอยู่ที่ติ่งหูส่วนบน, ส่วนล่างอีก 1 จุด)

วิธีนวด  :   2 จุดบนให้นวดไปด้านหลัง
1. จุดล่างให้นวดขึ้นและเอียงไปด้านหน้า
2. จุดสันหูส่วนที่โผล่มาจากแอ่งหู
วิธีนวด :  นวดขึ้นตามแนวสันหู(ดังรูป)

                                             
หูซ้าย : นวดในตำแหน่งเดียวกันกับหูขวาแต่ทิศทางตรงกันข้าม

⇒ การรักษาใบหูและร่างกายนวดสลับวันกัน นวดวันละ 1-3 ครั้ง นวดนานครั้งละ 5-10 นาที ขึ้นกับความรุนแรงและสิ่งที่จะลืมไม่ได้ก็คือ เวลาเป็นหวัดต้องใส่เสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่นเสมอ

กดจุดจีน

แพทย์แผนไทยกับ การกดจุด-จีน รักษาโรค

แพทย์แผนไทยกับการกดจุดรักษาโรค 

ศาสตร์การ กดจุด-จีน (Chinese Pressing Points)
            การกดจุดได้ถูกรวบรวมและพัฒนาขึ้น ด้วยการแพทย์ของจีนครั้งแรก ในสมัยราชวงศ์จิ้น ประมาณ พ.ศ. 243  จากนั้นการกดจุดจึงได้แพร่หลายเข้าไปสู่ในครัวเรือนของชาวจีนอย่างกว้างขวาง ในรูปแบบการปฐมพยาบาล การแก้โรคบางโรค โดยใช้การกดจุดรักษาร่วมกับการใช้ยาสมุนไพร  จนปัจจุบันได้มีการนำมาใช้ร่วมกับการรักษาและการใช้ยากับแนวทางแพทย์ตะวันตก
การกดจุดคืออะไร  ( Pressing Points)  
            กดจุด เป็นวิธีการบำบัดรักษา และบรรเทา หรือ แก้อาการ เจ็บป่วยภายในร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวจีนให้การยอมรับเชื่อถือ และปฏิษัติกันมาหลายพันปี และยังแพร่หลายไปทั่วโลก ทั้งในเอเชีย ยุโรปและอเมริกา
            การกดจุดมีวิธีการง่ายๆ คือ “การนวดจุดและกดจุด” ต่างๆบนร่างกายโดยใช้นิ้วมือ หรืออุปกรณ์ต่างๆที่คิดค้นขึ้นมาช่วยในการกดจุด เช่นใช้การฝั่งเข็มปักลงไปตามจุดต่างๆ, การใช้ความร้อน, การใช้คลื่นอัลตราโซนิก และแสงเลเซอร์

ประโยชน์ของการกดจุด
1.      ลดความรู้สึกไม่สบายทั้งหลายที่เกิดขึ้น จากความผิดปกติของอวัยวะภายในร่างกาย เช่น ความผิดปกติของการทำงาน ของปอด ตับ ม้าม หัวใจ ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ รวมถึงข้อต่อกล้ามเนื้อ หรือการหมุนเวียนของระบบเลือดแดง ดำ และน้ำเหลือง เป็นต้น  การกดจุดที่ถูกต้องสามารถกระตุ้นการทำงานของระบบต่างๆเหล่านั้น ให้กลับมาทำงานได้ปกติหรือดีขึ้น ตามหน้าที่ของแต่ละอวัยวะ  และจะดีขึ้นยิ่งๆขึ้นไป หาก แต่ละอวัยวะนั้นๆ มีสารอาหารที่จำเป็นในการทำงาน ครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่ร่างกายต้องการอย่างเพียงพอ เช่น สารอาหารจาก ไขมัน โปรตีน คาร์โบรไฮเดรท วิตามินต่างๆ และเกลือแร่
2.      ลดความเจ็บปวดต่างๆของร่างกาย     เพราะเมื่อเกิดอาการเจ็บปวดขึ้น นั้นเป็นสัญญานเตือนให้ทราบว่ามีความ ผิดปกติของร่างกาย  เช่น เมื่อมีอาการปวดหัวนานๆ เป็นๆหายๆ ปวดหลังเรื้อรังมานาน นั้นอาจเป็นสัญญานของกระดูกสันหลังทับรากประสาทหรือ อาการปวดเข่า ซึ่งอาจมาจาก อาการไขข้ออักเสบ หรือ ข้อเข่าเสื่อม หรือ เส้นเอ็นเข่าตึง ฯลฯ
3.      การป้องกันโรค   - ในปัจจุบันการแพทย์มักจะเน้นไปที่การรักษาโรค ซึ่งทำให้เกิดความสิ้นเปลืองอย่างมาก และอาจส่งผลจากการรักษาต่อสุขภาพอย่างมาก  การกดจุด เน้นไปที่การป้องกันโรค ก่อนเกิดโรคเมื่อระบบต่างๆของร่างกายกลับเข้าสู่การทำงานปกติ ดังที่กล่าวไว้ในข้อ 1 ข้างต้น  โอกาสที่โรคภัยจะคุคาม ต่อสุขภาพของเราก็จะน้อยลงอย่างอัตโนมัติ
4.      การกดจุดช่วยให้ร่างกายกระฉับกระเฉง และเพิ่มสมรรถนะของนักกีฬาหรือผู้ที่ชอบการออกำลังกาย     โดยการกดจุดจะทำให้กล้ามเนื้อมีกำลังกล้าแกร่งขึ้น ทนต่อการออกกำลังหนักๆได้ อีกทั้งยังทำให้ข้อต่อของกระดูกและกล้ามเนื้อเกิดความคล่องตัวในการขยับ  ปัจจุบัน สมาคมการกีฬาของบางประเทศในยุโรป ได้นำการกดจุดไปใช้ให้กับนักกีฬา ก่อนการแข่งขัน ทำให้ได้ผลในการนำชัยชนะมาสู่สโมสรอย่างเห็นได้ชัด          ในด้านความกระฉับกระเฉงนั้นก็มาจากความคล่องตัวของกระดูกข้อต่อและกล้ามเนื้อ ของผู้เข้ารับการกดจุด อีกทั้ง ระบบการไหลเวียนของเลือดและลมมีการหมุนเวียนได้อย่างราบรื่น ร่างกายจะโปร่งเบา กระฉับกระเฉงอย่างแน่นอน
5.      การกดจุดสามารถใช้เป็นการปฐมพยาบาลเบื้องต้นของโรคบางอย่างได้อย่างดี  เช่น โรคลมชัก   เท้าแพลง  หอบหืด  ปวดไส้ติ่ง  โรคกระเพาะ อาการเจ็บหน้าอก ปวดฟัน อื่นๆ ก่อนที่จะพบแพทย์ ในกรณีที่ห่างไกลแพทย์หรือต้องรอแพทย์เป็นเวลานาน
6.      ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค   เนื่องจาก การกดจุดแก้อาการ รักษาโรค นั้น สามารถใช้แทนการรักษาด้วยการฝั่งเข็ม ซึ่งจะฝั่งเข้าไปในเนื้อเฉพาะจุดเล็กๆ  และการนวดแผนไทยซึ่งต้องใช้ระยะเวลา  ฉะนั้น การกดจุด จึงสามารถเข้าถึงจุดของโรคได้อย่างแม่นยำมากกว่าในเวลาอันสั้น และไม่ต้องมีอะไรปักเข้าไปในเนื้อ ก็สามารถรักษาโรคที่เกี่ยวกับ การเจ็บปวด อักเสบ  เสื่อม พิการเรื้อรังของอวัยวะต่างๆของร่างกายได้ผลและปลอดภัยได้ผลเป็นอย่างดี
                                

  
        การกดจุด-จีน กับ บ้านสุขภาพดี 
            การกดจุด โดยวิธีของ “บ้านสุขภาพดี” เป็นวิธีการกดจุดแบบผสมผสานของศาสตร์จีนโบราณ และแนวแผนไทยโบราณ เข้าด้วยกัน ซึ่งมีผู้ทรงความรู้ได้นำมาใช้ในการรักษาโรคต่างๆและได้ผลดีอย่างเหลือเชื่อ โดยใช้นิ้วและอุปกรณ์ช่วยในการกดจุด   ซึ่งจะทำให้สามารถกดจุดได้ ตรงจุด แม่นยำ และ เป็นวงกว้าง สามารถกำจัดการลุกลามของอาการโรค ที่เกี่ยวกับ ระบบเลือดลม ระบบกล้ามเนื้อ ระบบประสาทและระบบโครงสร้างกระดูกและข้อต่อ อื่นๆ ได้เป็น อย่างดี 
            การกดจุดแนวทางของ บ้านสุขภาพดี  ยังมีข้อดี อีก คือ ประหยัดพลังงาน และเวลา ในการรักษาและแก้อาการของโรค  อาจารย์จากสมาคมแพทย์จึงได้นำมาประยุกต์ใช้ในการแก้อาการ-รักษาโรค 31 โรค ร่วมกับการกดจุด คลายเส้นแนวแผนไทย ซึ่งสามารถ เห็นผลการรักษาได้เป็นอย่างดี  
           
  


 
การกดจุด-  นอกจากการช่วยรักษา-แก้อาการ 31 โรค แล้ว ยังสามารถช่วยรักษาและบรรเทาโรคอื่นๆได้ผลดีอีกด้วย เช่น
โรคกระเพาะ , โรคนอนไม่หลับ ,ประสาทหลอน,เชื่องซึม, ท้องผูก, ไม่มีแรงปัสสาวะ ,โรคไต ,โรคตับ, โรคหัวใจ,ปวดฟัน, ปวดประจำเดือน, หนาวสั่น, อาการหวัด, ไซนัส, โรคหอบ, โรคความดันโลหิตสูง-ต่ำ, โรคอ้วน-ผอม, เสริมพลังสู้ชาย และ อื่นๆ


 หากท่านไปรักษาหลายที่แล้วไม่หาย ลองมาที่ สมาคมแพทย์ฯ มีนบุรี นะครับ รับรองท่านจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน




นวดเปิดประตูลม

ตำรานวดที่เราเรียนกันเช่น นวดพื้นฐานขา เปิดประตูลมนั้นมีอะไรดีๆซ่อนอยู่มากกว่านั้นครับ คนโบราณเขาจึงเขียนเป็นตำราให้พวกเราเรียนกันจนทุกวันนี้ ถ้าเราอยากเป็นหมอนวดที่แก้อาการเก่งๆ ต้องหมั่นสังเกต เช่นนวดพื้นฐานขาในแต่ละเส้นหมอนวดขณะที่นวดต้องดูว่าเส้นที่เรานวดผิดปกติหรือไม่ แข็งเป็นลำหรือเปล่า ถ้าพบนั่นแหละครับคือสาเหตุของความเจ็บป่วย เช่นเส้นหนึ่งของขาด้านนอกเวลาเรานวดจนถึงต้นขาใกล้กับหัวตะคาก ถ้าบริเวณนี้เส้นแข็งเป็นลำ บางครั้งเป็นก้อนเลย นั่นแหละตัวปัญหาเลยทำให้ปวดขาตลอดแนว บางครั้งทำให้เดินเท้าเบี่ยงออกด้านข้างได้ ปวดเข่าบางอย่างก็มาจากตรงนี้ หมอนวดต้องพยายามนวดเส้นที่แข็งหรือเป็นก้อนนี้จนนิ่ม ก็ทำให้อาการดีขึ้นมาก เท่านี้ก็ได้ใจคนป่วยแล้ว อย่างจุดนาคบากก็เช่นเดียวกัน ถ้าคนป่วยมีอาการเดินได้ไม่นานก็เมื่อยน่อง จุดนี้ถ้ากดนาน(ถ้ากดถูก จะรุ้สึกถึงอาการ"แล่น" ของเส้น เป็นไปได้พยายามถามผู้ถูกนวดด้วยว่าแล่นหรือเปล่า ไม่ต้องอายที่จะถามครับ) นิ่งสัก10คาบลมหายใจ3-5ครั้ง แล้วนวดพื้นฐานขาตามปกติ เน้นเส้นหนึ่งและสังเกตุอย่างมี่บอกตอนต้น ก็ช่วยได้มาก หลายๆอาการของขา ก็มาจากเส้นพื้นฐานทั้งนั้น หมอนวดที่เก่งๆเพราะเขาหมั่นสังเกตและเน้นจุดที่ผิดปกติ ทำให้คนป่วยดีขึ้น



porn star

https://blogger.googleusercontent.com/img/proxy/AVvXsEg-2BSk7TRvc1jn2OqhqzBfgeUlL2fg5yOWUgg2M0l_a_DXyPJaX3EUl2fVvXrZ44qDzqpO5ScAYH_UBZhhBG6v2peB5l0h8lAu_3Nmw4Anq2xgAR89KpMyjemKCUIR0c8MpKDqvKxLBcH6q89alBIm23fr5Q=w530-h298-n-rw

วิธีแก้ลมชัก

คนเราเกิดมาก็มีความคิดความอ่านต่างๆ กันไป บางคนก็บอกว่าอย่างนี้ดี บางคนก็ว่าอย่างนั้นดี บางคนก็เลยเหมาพูดว่าที่เขาเห็นว่าดี คนส่วนใหญ่ก็เห็นดีด้วย เป็นงั้นไป พูดแล้วก็เซ็ง"

"อ้าว... เซ็งนัก ก็อ่าน วิธีแก้ เซ็ง-สร้างสุข เสียสิ"
"ก็เพราะ อ่านตอนที่แล้ว ต้องสู้ ก็เลยอยู่สู้โลกต่อไปนะนี่"
"เออดี....แล้วนี่ไปไหนมาละ”

"แวะมาซื้อของแถวนี้ เมื่อกี้เจอเพื่อนเก่าแก่ก็เลยคุยกันเสียนาน เขาบอกว่า เขาเป็นโรคลมบ้าหมูมาตั้งแต่เล็ก รักษามาหลายแล้วไม่หายเสียที หมอเลยบอกว่าเกิดจากเซลล์สมองบางส่วนมีการทำงานผิดปกติ ซึ่งโรคนี้ส่วนใหญ่ไม่ทราบสาเหตุหรือาจเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ น่าสงสาร"

"คนข้างบ้านฉันก็เป็น มีอาการแน่นท้อง ตากระตุก แขนกระตุก ชาหรือมองเห็นภาพหลอน หลังจากนั้นก็จะล้มพับกับพื้น มีอาการของกล้ามเนื้อเกร็งทั้งตัว หลายใจลำบาก หน้าเขียว ต่อจากนั้นก็จะมีอากาชักกระตุกทั้งตัวเป็นระยะ ๆ มีอาการน้ำลายฟูมปากกัดลิ้น กลั้นปัสสาวะและกลั้นอุจจาระไม่อยู่ โดยทั่วๆ ไปแล้วจะเป็นนาน 1-3 นาที หลังจากฟื้นสติ จะรู้สึกมึนงง อ่อนเพลีย และม่อยหลับไป"

"แล้วรักษาหายไหมนี่"

"เขาว่า หายบ้างไม่หายบ้าง ถ้ารักษาไม่หายแล้ว หมอก็จะแนะนำวิธีป้องกันช่วยตัวเอง"
"เขาทำอย่างไรหรือ"
"เขาว่า ให้นอนและพักผ่อนให้เพียงพอ อย่าใช้ความคิดมาก อย่าให้เครียดและพยายามหลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนทางจิตใจ ห้ามดื่มของมึนเมา หรือยากระตุ้นประสาท และหลีกเลียงการทำงานที่อยู่ใกล้เครื่องจักร ไฟ ไฟฟ้า การปีนขึ้นที่สูง หรือทำงานใกล้น้ำ พูดง่ายๆ คือ หางานนั่งโต๊ะทำ (จะได้เป็นเจ้านายเขาเสียที)
แล้วก็ต้องระวังจะกัดลิ้นตัวเองเวลาชัก ควรใช้ช้อนสแตนเลส หรือไม้หรือผ้าใส่เข้าไปในปาก เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นไอ้ลิ้นด้วน (ทำเอง) เข้าให้"
"เฮ้อ...ฟังแล้วผมกลุ้มใจแทนจริงๆ แล้วไม่มีวิธีอื่นที่ช่วยแล้วหรือ"
"ก็ยังไม่รู้ แต่ผมอ่านหนังสือเกี่ยวกับการกดจุดรักษาโรคของจีน มีวิธีช่วยรักษรในระยะต้นที่เริ่มมีอาการชักหรือในระยะที่มีอาการชัก เขาว่าได้ผลพอสมควร"

"เขาทำอย่างไร"
"วิธีก็ไม่ยาก คุณลองแนะนำคนเป็นโรคนี้ดูซิ เผื่อได้ผลก็เป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นอย่างดี ไม่ต้องเสียเงินทางอะไรด้วย วิธีก็มีดังนี้....."

จุดที่กด
 จุดหย่งเฉวียน
ตำแหน่ง งอนิ้วเท้าทั้งห้าเข้าหาอุ้งเท้า ที่อุ้งเท้าจะปรากฏรอยบุ๋ม จุดจะอยู่ตรงรอยบุ๋ม (ตามรูป)
วิธีกด ใช้นิ้วหัวแม่มือ กดลงบนจดหย่งเฉวียนข้างใดข้างหนึ่งก่อน แล้วค่อย ๆ กดลงอีกข้างหนึ่ง (ในกรณีที่กดเอง) หรือจะให้คนอื่นช่วยกดทั้ง 2 ข้างให้กดนาน 3-4 นาที หรือจนมีอาการดีขึ้นจึงหยุดกด


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ลมชัก ปฐมพยาบาล

ยำขนมจีน

สวัสดีครับ วันนี้มีเมนูที่ทำทานง่ายๆ แต่ความแซ่บนั้นรับรองว่าถ้าได้ลองชิมแล้วจะต้องติดใจแน่ๆ กับเมนู
"ยำขนมจีน" ความอร่อยจะขึ้นอยู่กับเครื่องที่จะนำมายำจะต้องครบ 


มาดูเครื่องปรุงที่สำคัญกันก่อนเลย
1.ถั่วฝักยาวหั่น,หอมแดงซอย,มะนาว

2.หมูยอ

3.หมูสับ

4.เส้นขนมจีน

5.น้ำปลาร้าต้มผสมกับน้ำกระเทียมดอง

6.เครื่องเคียง จะมีผักชีลาวและถั่วฝักยาว สำหรับทานกับยำขนมจีน(มีกากหมูด้วยนะ อันนี้สำคัญเลยพลาดไม่ได้ แต่ลืมจัดใส่จาน เลยไม่ได้ถ่ายมาด้วย)


มาเริ่มขั้นตอนการทำเลยดีกว่า
1.ขั้นตอนแรก ทำน้ำยำกันก่อน จะมีน้ำตาล น้ำปลา ผงปรุงรส พริกป่นและน้ำปลาร้าที่ต้มผสมกับน้ำกระเทียมดอง และเพิ่มความเปรี้ยวด้วยน้ำมะนาว คนให้เครื่องปรุงละลายเข้ากัน

2.ใส่หมูสับ,หมูยอ,ถั่วฝักยาวหั่น,หอมแดงซอย  ลงไปคลุกกับน้ำยำ

3.ใส่เส้นขนมจีนลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน ใช้ช้อนหั่นเส้นขนมจีนด้วยเพื่อที่จะรับประทานได้ง่าย  

4.เสร็จแล้วจ้า สำหรับเมนูยำขนมจีน ตักใส่จานพร้อมรับประทาน



ไข่พระอาทิตย์

วันนี้ถ้าใครนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรทานในมื้อเย็นนี้  เราขอนำเสนอ เมนูไข่พระอาทิตย์
เห็นสูตรเลยอยากลองทำมั้ง วันนี้เลยจัดเลย เมนูที่ทำง่ายและอร่อยมาก
จะทำเป็นอาหารเช้าเสิร์ฟคู่กับฮอตดอกราด้วยซอสมะเขือเทศ
หรือทานคู่กับไก่ทอดหอมๆสักสองสามชิ้น  ฟินสุดๆ
วันนี้เลยมารีวิวให้เพื่อนๆดู อาจจะหน้าตาไม่สวยต้องขออภัยนะคะ

'' ไข่พระอาทิตย์''
เป็นสูตรอาหารที่พระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กรมการค้าต่างประเทศ
กระทรวงพาณิชย์ ตีพิมพ์ลงในหนังสือ 'สูตรอาหารต้นตำหรับข้าวหอมมะลิไทยในครัวนานาชาติ'
โดยหนังสือเล่มนี้ได้เผยแพร่ไปทั่วโลก เพื่อประชาสัมพันธ์ข้าวหอมมะลิไทยให้เป็นที่รู้จักทุกประเทศ

สำหรับที่มาและวิธีทำของสูตร อาหารพระราชทาน 'ไข่พระอาทิตย์' กรมการค้าต่างประเทศได้อัญเชิญลายพระหัตถ์
สมเด็จพระเทพมาบันทึกไว้  ในหนังสือนี้ความว่า

'เมื่อข้าพเจ้ายังเด็ก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัเคยทรงประกอบอาหารพระราชทาน  เรียกว่า  'ไข่พระอาทิตย์'
มีผู้ถามว่าทำไมถึงเรียกว่า ไข่พระอาทิตย์  ข้าพเจ้าทูลถาม
'ทรงเล่าว่า เมื่อส่องกล้องแล้ว พื้นผิวดวงอาทิตย์มีลายเหมือนเมล็ดข้าว ภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า Grain de riz'

วิธีทำ  ก็ง่ายๆแค่ใส่ไข่ตีผสมกับข้าว แต่เราเพิ่มต้นหอมลงไปด้วย แล้วตั้งน้ำมันบนกระทะแต่ให้น้อยกว่าเหมือนทำไข่เจียว เทลงกระทะจนขอบกรอบๆ ตรงกลางแฉะๆสักนิดก็ตักขึ้นใส่จานเป็นอันเสร็จเรียบร้อย 




https://trends.google.co.th/trends/topcharts#vm=trendingchart&cid=1124ee17-1482-4cd5-8016-b6ff47c2ec9a&geo=TH&date=2016&cat=

สอนทำเครปเย็น

สอนทำเครปเย็นโรลกันดีกว่า


เราทำตัวแป้งเครปก่อนนะค่ะ

วัสดุที่ต้องเตรียม
1.แป้งอเนกประสงค์ 500 กรัม
2.ไข่ไก่ 9 ฟอง
3.นมสดรสจืด 500 ml.
4.เนยละลาย 100 กรัม
5.น้ำเปล่า 100 กรัม
6.น้ำตาล 200กรัม
7. น้ำมัน 100 กรัม
8. เกลือ 1หยิบมือ
9. กลิ่นวนิลา 1ช้อนโต๊ะ

ไส้เครป
จขกท.ทำไส้ฝอยทอง , กล้วยหอมช็อคโกแลต , บลูเบอรี่ค่ะ

แล้วก็ที่ขาดไม่ได้คือวิปปิ้งครีม